วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

มหาปรินิพพานสูตร ครั้งที่ ๖ ภิกขุอปริหานิยธรรม ๓-๔/๗

ภิกขุอปริหานิยธรรม ๓ - ๔ /๗

‘‘ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปสฺสนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ, ยถาปญฺญตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ
ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ยาวกีวํ ตราบใด ภิกฺขู ภิกษุทั้งหลาย น ปญฺญเปสฺสนฺติ จักไม่บัญญัติ อปญฺญตฺตํ ซึ่งสิกขาบทอันเราไม่บัญญัติแล้ว, น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ จักไม่ยกเลิก ปญฺญตฺตํ ซึ่งสิกขาบทอันเราบัญญัติแล้ว, วตฺติสฺสนฺติ จักประพฤติ สมาทาย โดยถือมั่น สิกฺขาปเทสุ ในสิกขาบททั้งหลาย ยถาปญฺญตฺเตสุ ตามควรแก่สิกขาบททั้งหลายอันเราบัญญัติแล้ว, ตาวกีวํ ตราบนั้น ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วุทฺธิ เอว ความเจริญ นั่นเทียว ปาฏิกงฺขา อันภิกษุพึงหวังได้, ปริหานิ ความเสื่อม โน ปาฏิกงฺขา อันภิกษุไม่พึงหวัง.[1]

‘‘ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เย เต ภิกฺขู เถรา รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิตา สงฺฆปิตโร สงฺฆปริณายกา, เต สกฺกริสฺสนฺติ ครุํ กริสฺสนฺติ มาเนสฺสนฺติ ปูเชสฺสนฺติ, เตสญฺจ โสตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ
ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เย เต ภิกฺขู ภิกษุทั้งหลายเหล่าใด เถรา เป็นพระเถระ รตฺตญฺญู  รู้ราตรีนาน จิรปพฺพชิตา บวชมานาน สงฺฆปิตโร   ดำรงอยู่ในฐานะบิดาแห่งสงฆ์  สงฺฆปริณายกา เป็นผู้นำของสงฆ์  โหนฺติ มีอยู่[2], ยาวกีวํ ตราบใด ภิกฺขู ภิกษุทั้งหลาย สกฺกริสฺสนฺติ จักสักการะ กริสฺสนฺติ จักกระทำ ครุํ ซึ่งความเคารพ, มาเนสฺสนฺติ จักยกย่อง, ปูเชสฺสนฺติ จักบูชา เต ซึ่งภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระทั้งหลายเหล่านั้น, มญฺญิสฺสนฺติ จักคำนึง โสตพฺพํ ซึ่งคำพร่ำสอน เตสํ จ ของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ด้วย, ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตาวกีวํ ตราบนั้น วุทฺธิ เอว ความเจริญ นั่นเทียว ปาฏิกงฺขา อันภิกษุพึงหวังได้, ปริหานิ ความเสื่อม โน ปาฏิกงฺขา อันภิกษุไม่พึงหวัง.[3]





[1] ในกรณีนี้ คือ ความเจริญด้วยศีลเป็นต้น. การตั้งกติกาวัตรหรือสิกขาบทขึ้นใหม่ ชื่อว่า บัญญัติข้อที่ไม่ได้ทรงบัญญัติ. ส่วนการแสดงคำสอนไปตามธรรมวินัย ไม่เพิกถอนสิกขาบทน้อยใหญ่ ชื่อว่า ประพฤติสมาทานในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติ. คัมภีร์อรรถกถายกกรณีที่พระมหากัสสปเถระยืนยันการไม่บัญญัติข้อที่มิได้ทรงบัญญัติไว้ท่ามกลางสงฆ์เป็นสาธก. ขอนำมาให้เป็นกรณีศึกษาดังนี้ ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเป็นกาลชั่วควันไฟ (คือไม่เป็นไปหลังจากที่ควันไฟสงบลง ที.ม.ฎี๑๓๖) พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ตราบใด สาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายในบัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงประพฤติสมาทานในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้วนี้เป็นญัตติ. (วิ.จูฬ.๗/๖๒๑)
[2] ในพระบาฬีมีคำชุดแบบนี้ที่กล่าวถึงคุณลักษณะของภิกษุผู้เป็นพระเถระในสงฆ์ว่า เถร รตฺตญฺญู จิรปฺปพฺพชิต  สงฺฆปิตุ สงฺฆปริณายก (ดูพระบาฬีอื่น อาทิ มหาโคปาลกสูตร ม.มู ๓๔๖)
เถร ผู้มั่นคง คือ ถึงความมั่นคงในพระศาสนา ไม่กลับไปสู่คฤหัสถ์ ประกอบด้วยอเสกขธรรมมีศีลขันธ์เป็นต้นอันสร้างความเป็นพระเถระ.
รตฺตญฺญู รู้ราตรี คือ รู้ราตรี โดยเป็นผู้บวช คือ ผ่านวันคืนแห่งบรรพชิตมาช้านาน
จิรปฺปพฺพชิต บวชมานาน คือ เป็นบรรพชิตมาช้านาน
สังฆปิตุ สังฆบิดา คือ ดำรงอยู่ในตำแหน่งบิดาของสงฆ์
สงฺฆปริณายก ผู้นำสงฆ์ คือ ผู้นำในศาสนกิจของสงฆ์ เป็นหัวหน้านำภิกษุให้ดำเนินไป ให้ตั้งมั่นในสิกขา ๓ เพราะดำรงในฐานะแห่งบิดา
[3] เมื่อเข้าไปบำรุงพระสังฆเถระ ก็จะได้ฟังโอวาท รับฟังธรรมสาระมีโพชฌงค์เป็นต้น แนวทางปฏิบัติมีธุดงควัตรเป็นต้น กระทั่งประเพณีปฏิบัติที่ครูอาจารย์แต่โบราณสั่งสอนกันสืบมา อาทิ ควรใช้อิริยาบถอย่างนี้ ควรครองบาตรจีวรอย่างนี้. ครั้นดำเนินตามโอวาทนั้นไม่ออกนอกธรรมนอกวินัยกระทั่งบรรลุถึงสามัญผลเป็นลำดับ. การกระทำสักการะเป็นต้นต่อพระเถระจะเป็นเหตุให้เจริญด้วยอริยทรัพย์และธรรมขันธ์มีศีลเป็นต้น อย่างนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น